SSL คืออะไร : จำเป็นกับเว็บไซต์มั้ย?

SSL คืออะไร

SSL (Secure Sockets Layer) คือเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลที่ใช้ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้ข้อมูลที่ส่งผ่านระหว่างเบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถถูกดักฟังหรือถูกขโมยได้ โดยที่การทำงานของ SSL จะสร้างการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยผ่านโปรโตคอล HTTPS แทนที่จะเป็น HTTP ปกติ
ในชีวิตประจำวันเราอาจพบเห็นการใช้ SSL ได้ง่าย ๆ เช่น เมื่อเราทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ เช่น ซื้อของออนไลน์ หรือเมื่อเราลงทะเบียนบัญชีผู้ใช้บนเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีข้อมูลส่วนตัว การมี SSL จะช่วยปกป้องข้อมูลสำคัญเหล่านี้จากการถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

เว็บไซต์จำเป็นต้องมี SSL

การมี SSL บนเว็บไซต์ไม่ใช่แค่เป็นการเพิ่มความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณอีกด้วย ผู้ใช้จะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมี SSL และแสดงสัญลักษณ์ “ล็อค” ที่อยู่ข้างหน้า URL ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเว็บไซต์ของคุณมีการเข้ารหัสข้อมูล

นอกจากนั้น การมี SSL ยังช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นไปตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่กำหนดโดยหน่วยงานต่าง ๆ เช่น PCI-DSS สำหรับเว็บไซต์ที่มีการรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิต หรือ GDPR สำหรับเว็บไซต์ที่เก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ในยุโรป

SSL มีผลต่อเว็บไซต์อย่างไรบ้าง

  1. การเพิ่มความปลอดภัย: แน่นอนว่าการมี SSL จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ของคุณ โดยเฉพาะในกรณีที่คุณต้องการให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่านหรือข้อมูลบัตรเครดิต การเข้ารหัสข้อมูลด้วย SSL จะทำให้ข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถถูกดักฟังหรือถูกขโมยได้โดยง่าย
  2. การเพิ่มความน่าเชื่อถือ: ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีการเข้ารหัสข้อมูลผ่าน SSL ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความน่าไว้วางใจในเว็บไซต์ของคุณ การแสดงผลสัญลักษณ์ “ล็อค” ที่อยู่ข้างหน้า URL เป็นการยืนยันว่าเว็บไซต์ของคุณมีการเข้ารหัสข้อมูลอย่างปลอดภัย
  3. การป้องกันการโจมตีแบบ Phishing: เว็บไซต์ที่มี SSL จะช่วยลดโอกาสที่ผู้โจมตีจะสร้างเว็บไซต์ปลอมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเว็บไซต์ของคุณเพื่อลวงผู้ใช้ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว การที่เว็บไซต์ของคุณมี SSL จะช่วยเพิ่มความยากในการทำ Phishing เนื่องจากผู้ใช้จะสามารถตรวจสอบการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยได้
  4. การปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย: เว็บไซต์ที่มีการรับชำระเงินออนไลน์หรือเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้จำเป็นต้องมี SSL เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย เช่น PCI-DSS หรือ GDPR การไม่มี SSL อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเหล่านี้และเสี่ยงต่อการถูกปรับ

SSL มีผลต่อการทำการตลาดอย่างไรบ้าง (SEO, Google Ads)

  1. ผลต่อ SEO: การมี SSL เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google โดย Google ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเว็บไซต์ ดังนั้นเว็บไซต์ที่มี SSL จะมีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา นอกจากนี้ การมี SSL ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ในสายตาของผู้ใช้ ทำให้มีโอกาสคลิกเข้าเว็บไซต์มากขึ้น
  2. ผลต่อ Google Ads: หากคุณใช้ Google Ads ในการโฆษณาเว็บไซต์ของคุณ การมี SSL จะช่วยเพิ่มคะแนนคุณภาพ (Quality Score) ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการแสดงผลของโฆษณาและค่าใช้จ่ายในการคลิก (CPC) การมีคะแนนคุณภาพสูงจะช่วยให้โฆษณาของคุณแสดงผลได้ดีกว่าและมีค่าใช้จ่ายต่อคลิกที่ต่ำกว่า
  3. การสร้างความน่าเชื่อถือ: ผู้ใช้ที่เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมี SSL จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการคลิกโฆษณาและเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ทำให้มีโอกาสเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) และเพิ่มโอกาสในการแปลง (Conversion) การมี SSL ยังช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น การซื้อสินค้า ทำให้เพิ่มยอดขายได้
  4. การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้: เว็บไซต์ที่มี SSL มักจะโหลดเร็วกว่าและมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าเนื่องจากการเข้ารหัสข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ การมีเว็บไซต์ที่โหลดเร็วและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์

ติดตั้ง SSL ทำอย่างไร

  1. เลือกประเภทของ SSL: ก่อนที่จะติดตั้ง SSL คุณต้องเลือกประเภทของ SSL ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณ มีหลายประเภท เช่น Domain Validation (DV), Organization Validation (OV), และ Extended Validation (EV) โดยที่แต่ละประเภทมีระดับการตรวจสอบและความน่าเชื่อถือที่แตกต่างกัน
  2. ขอใบรับรอง SSL: คุณสามารถขอใบรับรอง SSL ได้จากผู้ให้บริการ SSL หลายราย เช่น Let’s Encrypt (ฟรี), Comodo, DigiCert โดยการขอใบรับรองคุณจะต้องสร้าง Certificate Signing Request (CSR) จากเซิร์ฟเวอร์ของคุณ
  3. ติดตั้ง SSL บนเซิร์ฟเวอร์: เมื่อคุณได้รับใบรับรอง SSL แล้ว คุณต้องติดตั้งใบรับรองบนเซิร์ฟเวอร์ของคุณ ซึ่งขั้นตอนการติดตั้งจะขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มและเซิร์ฟเวอร์ที่คุณใช้ เช่น Apache, Nginx, หรือ IIS
  4. ติดตั้ง SSL บน WordPress: สำหรับผู้ใช้ WordPress คุณสามารถใช้ปลั๊กอินเพื่อทำให้การติดตั้ง SSL เป็นเรื่องง่ายขึ้น ปลั๊กอินที่แนะนำคือ “Really Simple SSL” โดยมีขั้นตอนดังนี้:
    • ติดตั้งและเปิดใช้งานปลั๊กอิน “Really Simple SSL” จากหน้าแดชบอร์ด WordPress ของคุณ
    • ปลั๊กอินจะตรวจสอบการติดตั้ง SSL ของคุณโดยอัตโนมัติ หากพบว่า SSL ได้รับการติดตั้งแล้ว จะมีการตั้งค่าให้เว็บไซต์ของคุณใช้ HTTPS แทน HTTP โดยอัตโนมัติ
    • คุณสามารถตรวจสอบการตั้งค่าเพิ่มเติมได้ที่หน้า “Settings” -> “SSL” เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างทำงานได้ถูกต้อง

การมี SSL ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ของคุณ แต่ยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดออนไลน์อีกด้วย อย่ารอช้าที่จะติดตั้ง SSL บนเว็บไซต์ของคุณวันนี้!